วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรือประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติของหนู

เรือประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติของหนู

เด็กๆ KG.1 ทำเรือประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ  ฝึกทักษะการเรียนรู้-ทักษะการทำงานร่วมกัน-ลงมือทำงานด้วยตนเองอย่างเป็นขั้นตอนจนสำเร็จ-เกิดความภาคภูมิใจ-ฝึกสมาธิ-มีความคิดสร้างสรรค์











วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

รักลูกต้องฝึก เลี้ยงลูกต้องเข้าใจ...รัก

เลี้ยงลูกให้ดี-อีคิวสูง

ระดับสติปัญญาจะดีหรือด้อย ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับพันธุกรรม หรือยีน ค่อนข้างมาก พูดง่ายๆก็คือว่า ถ้าพ่อแม่เฉลียวฉลาดย่อมมีโอกาสสูงที่ลูกจะฉลาดได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องของพันธุกรรมที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นประกอบเสริมด้วย เช่น การได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของสมองตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และหลังคลอด     ในช่วงวัยเด็กบวกกับได้รับการเลี้ยงดู การได้รับการกระตุ้นอย่างเหมาะสม
                ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ(E.Q.) ก็เป็นเรื่องที่สำคัญต่อตัวเด็กไม่ใช่น้อย เป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนสามารถสร้างให้ลูกได้เอง ซึ่งเด็กจะมีพฤติกรรม  นิสัยอย่างไรขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่เป็นหลักใหญ่ ดังนั้นการให้ความสำคัญในเรื่องของอีคิวกับลูกตั้งแต่เล็กจะช่วยให้เด็กอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
                นพ.กมล แสงทองศรีกมล กุมารแพทย์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น รพ.กรุงเทพ ได้ให้เคล็ดลับการสร้างลูกรักได้ดีและมีอีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์ดังนี้
«ให้ความรักความเข้าใจ  เป็นเรื่องที่สำคัญมาก และคุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างเหมาะสมด้วย  การยิ้ม การสัมผัส การกอด โอบไหล่ เป็นการบอกถึงความรักที่เด็กสัมผัสได้เป็นอย่างดี  แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรตามใจลูกมากเกินไป ต้องสอนให้รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ อย่างไหนทำได้ อย่างไหนทำไม่ได้  ไม่บังคับหรือควบคุมมากเกินไปและน้อยเกินไป
«ความอบอุ่นของครอบครัว คือความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของคนในครอบครัว การอบรมสั่งสอน  การเลี้ยงดูที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หรือถ้ามีการขัดแย้งบ้างก็ควรมีการพูดคุย ตกลงกันให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
«รู้-เข้าใจพัฒนาการของลูก  จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติต่อลูกได้อย่างเหมาะสม ให้อิสระและโอกาสในการตัดสินใจ ซึ่งจะช่วยให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าทำ กล้าแสดงออก
«สอนลูกให้รักตัวเอง-รักคนอื่น  ต้องสอนให้ลูกรู้จักความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  การแบ่งปัน

«ส่งเสริมให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า เมื่อลูกทำดี หรือประสบความสำเร็จ ก็ควรชมหรือให้กำลังใจ ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้สึกภูมิใจในตัวเอง
«ให้ลูกรู้จักคิดเป็นเหตุ-เป็นผล โดยส่งเสริมทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและเรื่องสำคัญๆด้วย เช่น ถ้าลูกอยากซื้อของเล่นแต่มีราคาแพงหรือมีอยู่แล้ว ก็สอนให้ลูกรู้จักใช้หลักการและเหตุผลว่าควรซื้อหรือไม่  เพราะอะไร  เป็นต้น

«เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นแบบอย่างที่ดี ลูกก็จะเรียนรู้โดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องมานั่งสอน นั่งบอกเลย เช่น นิสัยรักการอ่าน เมื่อพ่อแม่มีเวลาว่างก็หยิบหนังสือมาอ่าน  อ่านหนังสือ/นิทานให้ลูกฟัง พูดคุยเกี่ยวกับหนังสือที่อ่าน เข้าร้านหนังสือบ่อยๆ  แล้วลูกก็จะติดนิสัยรักการอ่านโดยไม่รู้ตัว

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เด็กปลอดภัย ว่ายน้ำเป็น พัฒนากายใจ สัปดาห์ที่7

เด็กเล็กชั้น KG.1 บ้านแม่พระอุปถัมภ์ เรียนว่ายน้ำทุกวันอังคาร ที่ CJ Sport Club บรรยากาศดี เรียนรู้สนุก
 มีสวนนกแก้วมาคอร์...สวนน้ำ...สวนหย่อม...ฝูงหงส์...ฝูงปลา...แมกไม้...สนามเล่น...สนามกีฬา...สระว่ายน้ำ...ครบครัน

น้องสตรา

น้องฟ้า
น้ำมนต์


   
น้องน้ำหนึ่ง      
น้องใบไม้
น้องปั้นทอง
   



 ทำท่ากายบริหาร อบอุ่นร่างกายก่อนลงสระ

ฝึกเตะเท้า
บนบกและในน้ำ


 ฝึกเตะเท้า





                   ฝึกใช้คลิ๊กบอร์ดลอยตัว เตะเท้า
   


  สัปดาห์ที่ 6 เด็กๆเริ่มจับคลิ๊กบอร์ด ลอยตัว เตะเท้าได้ (น้องใบไม้-ด.ช.ศุภกร คงน้อย)


  7สัปดาห์ผ่านไป เด็กๆเริ่มจับคลิ๊กบอร์ด ลอยตัว เตะเท้าได้ (ถอดชูชีพออก)


สวนสวย สระงาม











วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เด็กไทยก้าวไกลสู่อาเซียน

สุขภาพจิตบุคลิกภาพเด็ก สำคัญไฉน
           

   
     วัยเด็กเป็นวัยที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่จากคุณพ่อคุณแม่มากๆเลยนะคะ   

การที่เด็กๆได้รับการอบรมเลี้ยงดูด้วยวิธีที่ถูกต้องเหมาะสม  เด็กก็จะเติบโตอย่างมีคุณภาพ   มีสุขภาพจิตและบุคลิกภาพที่ดีด้วยนะคะ  และนี่คือเหตุผลสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเอาใจใส่ลูกรักของท่านด้วยความเข้าใจ  ให้ความรักความอบอุ่นอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอทั้งความรู้สึก  คำพูดและการแสดงออก  ก็จะทำให้ลูกรักรู้สึกมั่นคง  ปลอดภัยและอารมณ์ดีด้วยค่ะ

                วิธีการสร้างพื้นฐานทางอารมณ์ให้ลูกรักสามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นๆได้ง่ายก็คือ  การทำให้ลูกมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น  โดยเริ่มที่ตัวคุณพ่อคุณแม่ต้องยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นและอย่าพยายามเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างลูกรักกับเด็กคนอื่นๆเป็นอันขาด 

พร้อมกันนี้ก็ต้องให้คำชมเชยในโอกาสที่เหมาะสม  เช่น  เมื่อลูกรักตักข้าวทานด้วยตนเอง  เก็บของเล่นเข้าที่เมื่อเลิกเล่น ( อาจจะไม่เรียบร้อยไปบ้าง )      ถ้าหากลูกรักของคุณพ่อคุณแม่ทำผิด ก็ไม่ควรใช้ท่าทางหรือคำพูดตำหนิลูกอย่างรุนแรง  แต่ควรใช้วิธีการอธิบายเหตุผลด้วยคำพูดที่ไพเราะอ่อนโยน  เพื่อว่าลูกจะได้นำไปปฏิบัติต่อคนอื่นด้วย
            
    การสร้างความไว้วางใจให้กับลูกรักก็สำคัญนะคะ  
คุณพ่อคุณแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำอะไรด้วยตนเอง  ได้คิดได้ตัดสินใจด้วยตนเองบ้าง โดยคอยช่วยเหลือเป็นบางครั้งเมื่อลูกรักต้องการและให้คำชมเชยเมื่อลูกรักทำสำเร็จ  ก็จะทำให้ลูกมีความเชื่อมั่นในตนเอง

ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเคร่งครัดหรือเข้มงวดมากด้วยกฎเกณฑ์กับลูกมากเกินไปเพราะจะทำให้ลูกเกิดความเครียดได้   แต่ควรใช้เหตุผล ใช้ความรักเป็นแรงจูงใจให้ลูกทำหรือแสดงพฤติกรรมที่ดี มีจิตใจที่ดีและควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ทำกิจกรรมที่ชอบ ความสนุกสนานก็จะช่วยให้ลูกรักเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข  ผ่อนคลายและเป็นเด็กที่มีอารมณ์ดี  ร่าเริง  แจ่มใสค่ะ


อย่าลืมนะคะ บุคลิกภาพ ความสุขและความเชื่อมั่นของเด็กๆจะเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูด้วยความรัก ความเข้าใจและการสนับสนุนส่งเสริมลูกอย่างถูกต้องของคุณพ่อคุณแม่ทุกคนค่ะ

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ระเบียบการใหม่

ระเบียบการสถานรับเลี้ยงเด็ก
เนอสเซอรี่บ้านแม่พระอุปถัมภ์ (St.Mary Nursery Home )
                                14 ม. 2 ซอยสุขาภิบาล 6 บ้านดอนกลาง ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
โทร.0-3223-3787,08-1870-8817  โทรสาร 0-3223-3787  E-mail :DEKLEK24@GMAIL.COM
“บ้านเด็กเล็กยุคใหม่ อบอุ่น ปลอดภัย  เรียนรู้สนุก ปลูกฝังคุณธรรม”
                                                                                                                                                                  
1. หลักสูตรการจัดการอบรมเลี้ยงดู การเสริมสร้างพัฒนาการและการประเมินพัฒนาการ
-ยึดตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2546  กระทรวงศึกษาธิการ และแนวปฏิบัติที่กระทรวง
พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำหนด
2.  วัตถุประสงค์
                2.1  เพื่อบริการจัดการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย อายุ 0-6 ปี (ประเภทไป-กลับ)และส่งเสริมให้มี
                พัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย และได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพตามธรรมชาติ
                2.2  เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครองในการอบรมเลี้ยงดูและเสริมสร้างพัฒนาการเด็ก
                2.3  เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐด้านการพัฒนาเด็ก และทรัพยากรมนุษย์
3. การเปิดรับสมัคร
                3.1  รับเลี้ยงเด็กปฐมวัยอายุตั้งแต่ 06 ปี ประเภทไป-กลับ โดยการควบคุมดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์/สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดราชบุรี
                3.2 เปิดรับสมัครทุกวัน เวลา 8.00 น. – 16.00 น.
                                3.2.1เอกสารที่ต้องนำมาสมัคร
                -  สำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อเด็กและผู้ปกครอง 1 ใบ
-  สำเนาสูติบัตร  (ใบเกิด) 1 ใบ
                -  รูปถ่ายเด็กที่เห็นใบหน้าชัดเจน ขนาด 2นิ้ว จำนวน  2 รูป
                -  รูปถ่ายผู้ปกครอง (หรือผู้เกี่ยวข้องการมารับเด็ก) ขนาด 2นิ้วจำนวน  2 รูป 
 4.อัตราค่าธรรมเนียมการเลี้ยงดู และการบริการอื่นๆ
                4.1ค่าบริการเลี้ยงดู ค่าจัดกิจกรรมเสริมสร้างพัฒนาการและค่าของใช้อื่นๆที่จำเป็นสำหรับเด็กจัดเก็บเป็นรายเดือน ในอัตราที่เป็นธรรม และ เหมาะสมสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
5. กำหนดวันเวลาทำการของสถานรับเลี้ยงเด็ก
                5.1วันจันทร์ ถึงวันศุกร์ เวลา 07.30-16.00. หยุดวันเสาร์-อาทิตย์ และวันนักขัตฤกษ์
                5.2วันเสาร์ เปิดรับฝากพิเศษ เวลา 08.00-16.00.เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ปกครองที่มีความจำเป็น
6.การจำหน่ายเด็กมีหลักเกณฑ์ดังนี้
                6,1  ผู้ปกครองบอกเลิกฝากเลี้ยง หรือ ผู้ปกครองไม่ชำระค่าเลี้ยงดูรายเดือนตามเวลาที่กำหนด
                6.2  เด็กมีอายุเกิน 6 ปี
7.การรับ – ส่งเด็กเล็ก
                7.1  สำหรับเด็กเล็กเข้าใหม่ในแต่ละครั้งต้องทำบัตรรับ – ส่ง เมื่อมารับในแต่ละวันผู้ปกครองต้อง                แสดงบัตรต่อครูพี่เลี้ยงทุกครั้ง
                7.2  ลงเวลา รับ – ส่ง และลงชื่อผู้รับ – ส่ง ความสัมพันธ์กับเด็ก
8. การแต่งกายของเด็กเล็ก
                8.1 เด็กอายุ 1-3  ปี แต่งกายตามที่ผู้ปกครองจัดให้ สวมเสื้อ กางเกง หรือกะโปรง สวมรองเท้า
                8.2 เด็กอายุ  3-6  ปี  แต่งกายตามสถานรับเลี้ยงกำหนด
                สวมเสื้อ กระโปรง กางเกง ผ้ากันเปื้อน หมวก กระเป๋า  

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สร้างลูกน้อยให้เป็นคนสร้างสรรค์

น้องบิว บ้านแม่พระ

    คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการเลี้ยงดูลูกน้อยให้เติบโตเป็นเด็กที่มี ความคิดสร้างสรรค์  

          จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการเลี้ยงลูกแบบเผด็จการค่ะ เช่น  เมื่อลูกจะทำอะไร คุณแม่ก็  อย่าๆ  ห้ามไว้ก่อน หรือใช้ความคิดประเภท  ปลอดภัยไว้ก่อน  

               
                 จนบางครั้งก็ทำให้ความกล้าที่จะคิด  ความกล้าที่จะทำอะไรของลูกน้อยต้องสะดุดหยุดลงทุกครั้งไป  

                 ทำให้เด็กไม่กล้าคิด  ไม่กล้าแสดงออก  ไม่กล้าเดินนำหน้าใครด้วยตนเอง  ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความคิดของเด็ก

ฉบับนี้ครูเอมีเทคนิคง่ายๆในการฝึกลูกน้อยให้เป็นคนสร้างสรรค์  ( ที่บ้าน ) มาฝากด้วยค่ะ

น้องจูน บ้านแม่พระ
1.  ฝึกให้ลูกได้คิดมากๆ พยามยามป้อนคำถามให้ลูกตอบให้มากที่สุด  โดยไม่ต้องคำนึงคำว่าถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่นะค่ะ   แต่ให้ลูกคิดออกมามากๆ  ในเวลาที่จำกัดและเมื่อลูกตอบถ้ามีการเสริมแรงด้วยคำชม  การปรบมือให้ก็จะดีมากเลยนะคะ ฝึกทำเช่นนี้สม่ำเสมอลูกของเราก็จะ คิดคล่องและ รู้จักถามด้วยค่ะ

2.  ฝึกให้มีความคิดยืดหยุ่น  คือมีคำตอบในทิศทางที่แตกต่างกันไม่ซ้ำกัน

3.  ฝึกให้มีความคิดที่แปลกใหม่  แนะนำให้ลูกคิดถึงสิ่งใหม่  สิ่งที่ไม่มีใครคิดถึงซึ่งไม่ใช่คำตอบปกติ

4.  ฝึกให้มีความคิดที่ถักทอโยงใยเป็นความคิดที่เชื่อมโยง  คิดในสิ่งที่คนอื่นสังเกตไม่ได้  นำสิ่งที่ไม่   น่าเชื่อมโยงกันได้มาโยงเข้าหากันได้     นอกจากนี้ก็ยังควรฝึกให้เด็กมีความละเอียดลออเห็นในรายละเอียดที่คนอื่นไม่สังเกต   

            ความสามารถด้าน ความคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาได้นะคะหากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจถึงแนวทางพื้นฐานเบื้องต้น คือ การฝึกการสังเกตและฝึกวิธีคิดทั้ง 4 ด้าน* ที่สำคัญคือ เสรีภาพในครอบครัวจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์   คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ปิดกั้นหนทางในการสร้างสรรค์ของลูกน้อยค่ะ

                                                                              *อ้างอิงหนังสือหนูน้อยคุณภาพ หน้า  41-42

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555


เมื่อลูกก้าวร้าว...ทำอย่างไร?
พฤติกรรมก้าวร้าว อาจมีลักษณะของพฤติกรรมทำร้ายตัวเองและผู้อื่นหรือสิ่งของ ครูเอมีวิธีแก้ไขพฤติกรรมก้าวร้าวที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับเด็กและผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง มาฝากค่ะ


          พฤติกรรมก้าวร้าวที่ไม่รุนแรง และไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองและผู้อื่น ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับเด็กวัย2-4 ปี ไม่ว่าจะเป็นเด็กปกติหรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ควรใช้เทคนิคปรับพฤติกรรมในลักษณะของการเพิกเฉยต่อพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก และไม่ควรหัวเราะพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก แต่ควรแสดงสีหน้าที่เรียบเฉย นิ่ง สงบ และลอบสังเกตพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก ซึ่งอาจใช้เวลาแตกต่างกันประมาณ 10-30 นาทีหรืออาจนานถึง1ชั่วโมง หลังจากที่เด็กมีพฤติกรรมที่ลดลง สงบลง ใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กออกจากเหตุการณ์ช่วงนั้น ไปสู่กิจกรรมอื่นแทนและไม่ควรพูดย้ำเตือนเหตุการณ์นั้นอีก

          ใช้เทคนิคปรับพฤติกรรมด้วยวิธี time out โดยจัดมุมห้อง มุมใดมุมหนึ่งในบ้าน ซึ่งมุมนั้นควรเป็นมุมเงียบและไม่มีสิ่งที่เด็กสนใจ แต่ต้องไม่น่ากลัวสำหรับเด็ก ไม่ควรมีอุปกรณ์ใดๆ เป็นแรงเสริมให้เด็กสนใจหรือต้องการ ถ้าเด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว ทำร้ายผู้อื่น หรือทำลายข้าวของ นำเด็กแยกออกจากสิ่งแวดล้อมขณะนั้นและนำเข้ามุมที่จัดไว้สำหรับปรับพฤติกรรม(มุมสงบ) ชั่วคราว เวลาที่ใช้ในการควบคุมพฤติกรรมเด็ก พิจารณาตามอายุ เช่น เด็กอายุ 2 ปี ใช้ 2 นาที  และคอยดูแลอยู่ห่างๆ และเมื่อครบเวลานำเด็กออกจากมุมนั้น….ถ้าเด็กยังแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอีกก็จะต้องใช้วิธี..time..out..ทุกครั้ง
          เทคนิคปรับพฤติกรรมโดยวิธีลงโทษ เป็นวิธีการหยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยทันที ซึ่งพฤติกรรมนั้นค่อนข้างรุนแรงและเป็นอันตรายต่อตัวเด็กและผู้อื่น แต่ควรใช้เป็นวิธีสุดท้ายกับเด็กเพราะเด็กไม่สามารถเข้าใจถึงเหตุผลต่างๆที่เกิดขึ้น แต่กลับเรียนรู้ว่าถ้าจะหยุดพฤติกรรมอื่นๆจะต้องใช้การลงโทษ(ซึ่งอาจใช้การตีการกัด)ไปใช้แก้ปัญหากับเด็กหรือผู้อื่นแทน

          ถ้าพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กรุนแรงและเป็นอันตรายต่อผู้อื่นหรือตัวเด็กเอง อาจใช้วิธีกอดรัดเพื่อหยุดยั้งพฤติกรรม และไม่สนใจต่อพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก เด็กอาจจะดิ้นหรือต่อต้าน

          ผู้ใหญ่ต้องมีความชัดเจน อดทน และสม่ำเสมอ ต่อพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก เมื่อเด็กสงบลงใช้วิธีเบี่ยงเบนไปสู่กิจกรรมใหม่แทน ไม่พูดตำหนิในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และถ้าเด็กเกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้อีก ก็อาจจะใช้วิธีการปรับพฤติกรรมเช่นนี้อีกทุกครั้ง